เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ทุกวันนี้ถือได้ว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันประชาชนก็นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย การเลือกซื้อเพื่อให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุดจึงมีความจำเป็นอย่างมาก การเลือกจำนวนบีทียูให้เหมาะสมกับขนาดของห้องคือหนึ่งในข้อพิจารณาการเลือกซื้อ บีทียูและขนาดของห้องจะต้องมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ถ้าห้องที่ต้องการจะติดตั้งนั้นไม่ใหญ่มาก บีทียูที่ใช้อาจจะไม่ต้องสูงมาก เพราะถ้าใช้บีทียูที่สูงจนเกินไปก็จะทำให้สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ อย่าลืมว่า แอร์ราคาจะสูงตามจำนวนบีทียู แต่ถ้าห้องที่ใช้นั้นกว้างใหญ่ ก็จะต้องเลือกซื้อแอร์ที่มีจำนวนบีทียูมากขึ้นเช่นกัน เพราะมิเช่นนั้นแล้ว จะทำให้แอร์นั้นทำงานหนักจนเกินไปจนทำให้แอร์นั้นชำรุดได้ง่าย ซึ่งหลายคนอาจจะได้ยินคำว่าบีทียูอยู่บ่อย ๆ วันนี้เราทำความรู้จักกับคำว่า BTU ว่าคืออะไรกัน
BTU ย่อมาจาก British Thermal Unit เป็นหน่วยที่ใช้ปริมาณความร้อนที่ใช้ในระบบเครื่องเย็นและเครื่องปรับอากาศ โดยความร้อน 1 BTU คือ ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 ปอนด์ (0.45 กิโลกรัม) มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาฟาเรนไฮด์ (0.56 องศาเซลเซียส)หน่วยที่นิยมใช้สำหรับหาปริมาณความร้อนของระบบเครื่องทำความเย็นนั้นคือ ตัน (TON) คำว่า “1 ตันความเย็น” นั้นหมายถึงปริมาณความร้อนที่ใช้ในการละลายน้ำแข็ง 1 ตัน (2,000 ปอนด์) ในเวลา 24 ชม. หรือเท่ากับ 12,000 บีทียูต่อชั่วโมง ซึ่งสำหรับเครื่องปรับอากาศนั้นจะวัดกำลังความเย็นหรือความสามารถในการดึงความร้อน (ถ่ายเทความร้อน) ออกจากห้องปรับอากาศในหน่วยบีทียูต่อชั่วโมง (BTU/hr) ซึ่งเทียบเท่ากับหน่วยวัตต์ในระบบสากล
เปรียบเทียบการทำความเย็นระหว่างหน่วยตัน (Ton) กับบีทียู (BTU)
1 ton =12000 btu
1.5 ton = 18000 btu
2 ton = 24000 btu
2.5 ton = 30000 btu
3 ton = 36000 btu
BTU, BTUH และ BTU/H นั้น ต่างกันอย่างไร
BTU เป็นปริมาณความร้อนเท่านั้น เปรียบเทียบง่าย ๆ คงเหมือนกับปริมาณน้ำ
BTU/H และ BTUH นั้นเหมือนอัตราการทำความเย็น เปรียบเทียบง่าย ๆ คงเหมือนกับอัตการไหลของน้ำนั่นเอง แต่เพื่อความง่ายและความสะดวกเราจะใช้แค่ BTU เท่านั้น
BTU ยิ่งตัวเลขมาก ความสามารถในการสร้างความเย็นได้มาก และทำความเย็นได้ในพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ยิ่งมี BTU มากก็จะทำให้แอร์ใช้ไฟมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง ก่อนจะซื้อแอร์ควรเลือกแอร์ที่มีขนาด BTU ที่เหมาะสมกับขนาดของตัวห้อง
- ห้องเล็กแต่เลือกแอร์ BTU ใหญ่เกินไป จะทำให้เสียเงินซื้อแอร์แพงเกินความจำเป็น ค่าติดตั้งแพง ค่าไฟแพงโดยเปล่าประโยชน์
- ห้องใหญ่แต่เลือกแอร์ BTU เล็กเกินไป จะทำให้ห้องไม่เย็น เปลืองไฟ และแอร์ทำงานหนักจนพังได้ง่าย
ถ้าเป็นห้องที่ต้องเจอกับแสงแดดก็จะต้องเลือกแอร์ที่มีขนาด BTU มากกว่าปกติ แอร์สำหรับร้านอาหารหรือคนที่ติดตั้งแอร์ในห้องครัว ที่มีความร้อนจากการประกอบอาหารก็จะต้องใช้แอร์ที่มีขนาด BTU ที่ใหญ่กว่าปกติด้วยเช่นเดียวกัน
การพิจารณาเลือกบีทียูให้เหมาะสมกับพื้นที่ใช้สอย
- ขนาด 9,000 BTU – 21,000 BTU เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดเล็กถึงปานกลาง เช่น คอนโด หรือห้องที่มีความร้อนปานกลางถึงมาก
- ขนาด 21,000 BTU – 30,000 BTU เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่ห้องขนาดกลาง ถึงใหญ่ มีพื้นที่ในการใช้สอย หรือห้องที่มีความร้อนปานกลางถึงมาก เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องโถง
- ขนาด 30,000 BTU – 36,000 BTU เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดใหญ่ มีสิ่งของเครื่องใช้ เช่น Home Office สำนักงาน ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ธุรกิจขนาดย่อม หรือห้องที่มีความร้อนมาก เป็นต้น
จะรู้ได้อย่างว่าแอร์เต็มบีทียู
คำว่า “แอร์เต็มบีทียู” คือ ประสิทธิภาพการทำงานของแอร์ตรงตามบีทียูที่กำหนดไว้ เช่น 12000 บีทียู ซึ่งการที่จะรู้ว่าแอร์เต็มบีทียูหรือไม่เป็นเรื่องที่ยากมากครับ เพราะจะต้องทำงานทอสอบจากห้องแล็บ (Laboratory) ที่ได้มาตรฐาน จึงจะทราบว่าแอร์เครื่องนี้สามารถทำได้กี่บีทียู โดยทั่วไปแล้วมักจะดูกันที่รุ่นคอมเพรสเซอร์เป็นหลัก ว่าคอมเพรสเซอร์รุ่นนี้สามารถทำความเย็นได้กี่บีทียู แต่ในความเป็นจริงการที่แอร์เครื่องหนึ่งจะทำความเย็นได้กี่บีทียูนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของคอมเพรสเซอร์เพียงอย่างเดียว แต่มีองค์ประกอบอีกหลายอย่างโดยขึ้นอยู่กับการออกแบบของวิศวกร ว่าจะต้องการระบายความร้อนให้ได้เท่าไร โดยการออกแบบแผงคอยล์ มอเตอร์ ใบพัดลม ชุดอุปกรณ์ให้เข้ากันและทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้บีทียูตามที่ต้องการ
ทำไมต้องเลือก BTU แอร์ ให้พอเหมาะกับขนาดของห้อง
ถ้าเลือก BTU สูงไป คอมเพรสเซอร์จะทำงานตัดบ่อยเกินไป ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลง ทำให้ความชื้นในห้องสูง ไม่สบายตัวและที่สำคัญราคาแพงและสิ้นเปลืองพลังงาน
ถ้าเลือก BTU ต่ำไป คอมเพรสเซอร์จะทำงานตลอดเวลา เพราะความเย็นห้องไม่ได้ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ อาจจะสิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าเลือกบีทียูที่พอดีกับห้อง และทำให้อายุการใช้งานของเครื่องสั้นลง มีโอกาสเสียเร็วมากขึ้น รวมถึงทางแบรนด์ผู้ผลิต โรงงาน ศูนย์บริการ ในฐานะเจ้าของผลิตภัณฑ์อาจจะไม่ได้รับประกันในตัวสินค้า กรณีตัวสินค้ามีปัญหา เนื่องจากการใช้งานผิด สเปค ผิดประเภท หรือผิดขนาด
สรุปก็คือ การเลือกขนาด BTU ของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ของห้อง จะช่วยให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่สิ้นเปลืองพลังงาน และประหยัดค่าใช้จ่ายของคุณได้
การซื้อแอร์ไม่เหมาะสมกับขนาดห้องนั้น มักเป็นปัญหาแรกๆจากปัญหาแอร์ทั้งหมด ดังนั้นเราจึงควรทราบ BTU ที่เราต้องการ เพื่อเลือกแอร์ได้อย่างถูกต้อง ป้องกันการเสียพลังงานและค่าไฟฟ้าที่เกินควรหรือเกินความสามารถของเครื่องปรับอากาศ นอกจากการเลือกบีทียูที่เหมาะสม จะเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องประหยัดไฟแล้ว การดูแลรักษาความสะอาดหมั่นล้างแอร์อยู่บ่อย ๆ ก็จะช่วยในเรื่องการประหยัดไฟและช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์ได้เช่นกัน